วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

How to เฮง คิดแล้วเฮง

How to เฮง คิดแล้วเฮง

คนเราจะเฮงต้องเริ่มด้วยการฝึกคิด โดยย่อ วิธีคิด มี 6 แบบกล่าวคือ


1. คิดย้อนศร
2. คิดแล้วเป็นไปไม่ได้
3. คิดหลายขยัก
4. คิดเชิงบวก
5. คิดเป็นเหตุเป็นผล
และ 6. คิดนอกกรอบ

เพื่อน ๆ นักขายครับ ผมไม่ได้ไปนิวยอร์กมาหลายปีแล้ว ปีนี้ได้กลับไปเยือนอีกครั้ง มีหลายเรื่องนำมาเล่าให้ฟังเหล่านี้เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจากบนท้องถนน ในมหานครนิวยอร์กล้วน ๆ

เรื่องแรกที่พิสูจน์ได้ชัดเจนคือ ฝรั่งที่ได้รับยกย่องว่าทั้งเก่ง ทั้งเฮง ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ ไม่ได้มั่งมีเงินทองตั้งแต่เกิด พ่อแม่ยากจน แต่ที่ต่อสู้สร้างตัวจนสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ๆ เพราะเริ่มจาก “กล้าคิดกล้าทำ” ไม่ใช่คิดแต่ “อิจฉาริษยาเลื่อยขาเหยียบตาปลา”

บางคนเฮงเพราะ “คิดย้อนศร” นักขายที่จะเฮงแบบนี้ ต้องคิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องทั่วไปคิด เว็บไซต์ชื่อ www.amazon.com เกิดเพราะเด็กหนุ่ม ๆ 2 คนกล้าคิดย้อนศร แทนที่จะลงทุนสร้างตึก ซื้อหนังสือเข้าร้าน เงินจมกับสต็อกหนังสือและค่าก่อสร้าง พวกเขากลับใช้อินเทอร์เน็ตเป็นตลาดขายหนังสือและเริ่มจากกลุ่มลูกค้าที่ความ จำเป็นบังคับให้ซื้อตำราเรียนอ่าน

ฝรั่งที่กล้า “คิดย้อนศร” ทำให้เว็บไซต์อะเมซอนโด่งดังเป็นพลุแตก ผลคือร่ำรวยทันตาเห็นมีเงินเป็นพันล้านตั้งแต่อายุแค่ยี่สิบปีเศษๆ ไม่ต้องรอให้ “แก่เพราะความรู้ เฒ่าพราะอยู่นาน” เหมือนบ้านเรา ติดกับระบบราชการ ตอกบัตรทำงาน ใครที่ติดระบบ “ตอกบัตร” ทำงานเป็นเวล่ำเวลาไม่กล้า “คิดย้อนศร” รวยยากครับ ตัวอย่างมีแยะในบ้านเรา มากเสียจนน่าตกใจว่าจะแข่งชาติอื่นได้อย่างไร?

อีกประเภท ฝรั่งที่กล้า “คิดแล้วเป็นไปไม่ได้” คนที่กล้าคิดแบบนี้ ต้องเรียกว่า “นายแน่มาก” มีฝรั่งนายหนึ่งอยู่นิวยอร์กเหมือนกัน อายุแค่ยี่สิบปลาย ๆ จบปริญญาตรีมาแล้ว คนอื่นชวนทำงานแถววอลสตรีท ใส่สูทหรู ๆ พี่แกกล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ฝรั่งมองว่า “คิดแล้วเป็นไปไม่ได้” โดยเก็บขยะมาขาย บ้านเรามีวงษ์พาณิชย์ เราอาจรู้สึกไม่แปลก แต่สำหรับฝรั่งเมืองนิวยอร์ก การที่คน ๆ หนึ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำของมหานครนิวยอร์กแล้วเดินหันหลังให้งาน ออฟฟิศเป็นเรื่อง unbelievable เหลือเชื่อ น่าทึ่งครับ วันนี้เด็กหนุ่มคนนี้เพิ่งอายุสามสิบต้น ๆ มีเงินแล้วหลายร้อยล้านบาทเพราะนั่งคิดนั่งขาย “ขยะ” ซึ่งเป็นอาชีพน่ารังเกียจขยะแขยงของคนหนุ่มสาวในมหานครนิวยอร์ก

ฝรั่งวัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่ง “คิดหลายขยัก” คนกลุ่มนี้คิดแล้วคิดอีก คิดซ้ำคิดซ้อน ผลที่สุด เกิดธุรกิจแนวใหม่อิงกระแส “เทคโนโลยี” ไม่ว่าจะเป็นไบโอเทคโนโลยี นาโนเทคโนโลยี หรืออินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี คนเหล่านี้ อายุอานามไม่มากครับ แค่ยี่สิบปลายๆ บางบริษัทมีคนทำงานแค่ 9 คนแต่ยอดขายวัคซีนกันโรคทะลุเป้าได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท บางคนขายสินค้าไฮเทคเช่น เกมส์คอมพิวเตอร์ ทำงานแค่ 2-3 คน ได้เงินเป็นพันๆ ล้านบาทเหมือนกัน นักวิจัยหนุ่ม สาวบางคนคิดอาหารเสริมจนโด่งดัง แต่เชื่อผมหรือไม่ว่าโอกาสที่จะเกิด “วิตามินรวม” “น้ำมันปลา Omega3” หรือเครื่องสำอางชั้นนำระดับโลกอย่าง “Shisedo” ยากครับ เพราะบ้านเรา ไม่มีวัฒนธรรมใจกว้างส่งเสริมหรือปั้น “คนเก่ง” นอกจาก “เด็กในคาถา”

ฝรั่งอีกกลุ่มหนึ่ง “คิดเชิงบวก” คนกลุ่มนี้มองโลกในแง่บวก ในมหานครนิวยอร์กมีเดินตามถนนจำนวนมาก วันสองวันนี้ผมไปเดินเล่นแถว Museum of Modern Arts บนถนน 5th Avenue มหานครนิวยอร์ก เห็นการแสดงศิลปะของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แล้วรู้สึกชื่นชมที่พวกเขาคิดแล้วขาย ได้เป็นเงินหลายล้านบาท ครั้นพอมองกลับบ้านเราแล้วใจแป้ว คนที่จะทำผลงานในระดับเลี้ยงตัวรอดอย่างเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ หรือถวัลย์ ดัชนี ยังมีจำนวนแค่หยิบมือ ธุรกิจอย่างกาแฟ Starbucks ขยายธุรกิจจนเกลื่อนเมืองนิวยอร์ก ผมสงสัยซักถามคนหนุ่มสาวที่ซื้อแฟรนไชส์มาขาย พวกเขามองโลกในแง่บวกว่า คนเราเสียใจก็กินกาแฟ กลุ้มใจก็กินกาแฟ เชื่อไหมว่าตอนนี้กาแฟ “สตาร์บัคส์” กำลังฮิตและฮอตที่มหานครนิวยอร์กขณะนี้

ฝรั่งอีกกลุ่มหนึ่ง กล้า “คิดเป็นเหตุเป็นผล” คนพวกนี้ต้องดูที่โน่นแหละครับ ตลาดหุ้นแห่งมหานครนิวยอร์ก ล่าสุดฝรั่งที่วอลสตรีทจับมือกับทางยุโรปค้าขายหุ้นเป็นพันธมิตรกัน เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าพวกเขาก็ไม่สนใจ หวังว่าวันหนึ่งเศรษฐกิจก็จะดีในที่สุด GE เป็นบริษัทเดียวของโลกในรอบร้อยปีที่มีอัตราเติบโตเชิงบวกตลอดเพราะผู้ บริหารกล้าคิดกล้าทำเป็นเหตุเป็นผล กล้าเปลี่ยนแปลง กล้านำความเห็นลูกค้าและพนักงานมาปรับปรุงสินค้าและบริการตลอดเวลา

สุดท้ายกล้า “คิดนอกกรอบ” ร้านหนังสือ Barns and Noble ในมหานครนิวยอร์ก หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วได้ผู้บริหารคนหนุ่มสาวไฟแรงวัยสามถึงสี่สิบ ปีเศษ คนเหล่านี้กล้าคิดนอกกรอบจากเดิมเน้นขายหนังสืออย่างเดียวก็ปรับโฉมร้านใหม่ มีร้านกาแฟสตาร์บัคส์และขายซีดี ดีวีดี และไม่เปิดหน้าร้านขายอย่างเดียวแต่ยังขายสินค้าออนไลน์ควบคู่กันไปด้วย ผลก็คือ “รวยไม่เลิก”

เพื่อน ๆ นักขายครับ มองมาบ้านเรา เห็นแต่ “ขิงแก่” “ขิงเหี่ยว” “ขิงเน่า” “ขิงเหม็น” แล้วผมว่า “วิกฤต” คือโอกาสของเพื่อน ๆ นะครับ บางที “ขิงเน่า” ก็เปิดโอกาสให้ท่าน “แจ้งเกิด” ได้ไม่ยาก ขอให้เพื่อน ๆ นักขายนำข้อคิดเหล่านี้ไปใช้ประกอบการขายเพื่อ “เฮง ๆ รวย ๆ รวยไม่เลิก” แน่นอนครับ

http://www.ezyjob.com

1 ความคิดเห็น: